แนวข้อสอบความถนัดทางช่าง
1. สายไฟที่ใช้อยู่ตามบ้าน เรียกว่า
1. สายเคเบิล 2. สายหุ้มยาง
3. สาย พี วี ซี 4. สายไหม
คำตอบ 3. สาย พี วี ซี
2. สาเหตุธรรมดาๆ ที่ทำให้เกิดการลัดวงจรขึ้น คือข้อใด
1. แรงดันไฟฟ้าตก 2. กระแสในสายไฟสูงเกินไป
3. สายไฟฟ้ากระทบกัน 4. อากาศร้อนจัดเกินไป
คำตอบ 3. สายไฟฟ้ากระทบกัน
3. ถ้าความต้านทานของวงจรไฟฟ้ามากขึ้น กระแสในวงจรจะเป็นอย่างไร
1. มากขึ้น 2. คงที่
3. น้อยลง 4. เพิ่มแล้วลด
คำตอบ 3. น้อยลง
4. หลอดฟลูออเรสเซนต์ให้ประโยชน์อย่างไร
1. ตัดเป็นตัวหนังสือโฆษณา 2. ให้ความร้อนในการหุงต้ม
3. ให้แสงสว่างในอาคาร 4. ให้พลังงานคล้ายแสงอาทิตย์
คำตอบ 3. ให้แสงสว่างในอาคาร
5. ในการต่อสายไฟ มีสิ่งที่สำคัญควรจำไว้คือ
1. สายที่ใช้ต่อต้องมีขนาดใหญ่แข็งแรง 2. ปอกฉนวนออกให้หมด
3. ตัวต่อต้องแน่นและสะอาด 4. ต้องใช้เทปพันที่หัวต่อ
คำตอบ 4. ต้องใช้เทปพันที่หัวต่อ
6. เมื่อถอดหลอดไฟฟ้าออกจากกระจุ๊บหลอด กระจุ๊บหลอดเปล่าๆ ยังคงมี
1. กระแสไฟฟ้าฟ้า 2. แรงดันไฟฟ้า
3. ความต้านทาน 4. ไม่มีคำตอบ
คำตอบ 2. แรงดันไฟฟ้า
7. การต่อโวลต์มิเตอร์เพื่อวัดแรงดันไฟฟ้า ต่อดังนี้
1. ต่อไว้ข้างหน้างานที่ต้องการวัด 2. เสียบปลั๊กไฟฟ้า
3. ต่อไว้ทางส่วนหลังของงาน 4. ต่อคร่อมกับงาน
คำตอบ 4. ต่อคร่อมกับงาน
8. การต่อเซล 2 เซลอย่างขนาน หมายถึงการเอา
1. ขั้วบวกต่อขั้วบวก และขั้วลบต่อขั้วลบ 2. ขั้วลบต่อขั้วลบอย่างเดียว
3. ขั้วบวกต่อขั้วบวกอย่างเดียว 4. ขั้วบวกของเซลหนึ่งต่อกับขั้วลบของอีกเซลหนึ่ง
คำตอบ 1. ขั้วบวกต่อขั้วบวก และขั้วลบต่อขั้วลบ
9. วิธีป้องกันอันตรายจากการเกิดวงจรลัดควรทำอย่างไร
1. ต่อปลั๊กกับวงจร 2. ต่อสวิทช์กับวงจร
3. ต่อหลอดกับวงจร 4. ต่อฟิวส์กับวงจร
คำตอบ 4. ต่อฟิวส์กับวงจร
10. ขนาดของสายที่วัดไว้มีมีตัวเลขมากแสดงว่าสายลวดนั้นมีขนาด
1. โตตามขนาดเลขวัดได้ 2. เป็นขนาดโต
3. เล็ก 4. แล้วแต่ผู้ผลิตกำหนด
คำตอบ 3. เล็ก
ไฟล์ราคา 389 เพิ่ม 100 บาท แถมฟรี ชุดติวสอบ ภาค ก แบบเข้าใจง่าย
หนังสือราคา 789 บวก แถมฟรี MP3บรรยาย และโปรแกรมฝึกทำข้อสอบ ภาค ก
>รวบรวมจากผู้สอบติดอันดับต้นๆ เจาะข้อสอบเข้างานราชการ <<
>> (Book) สรุปสาระสำคัญ อ่านกระชับเวลา ไม่สับสน เข้าใจง่าย ออกชัวร์ๆ แม่นยำ <<
>> (New) รวบรวมจากรุ่นพี่ที่สอบได้อันดับต้นๆ+เจาะลึกตรงประเด็น เก็งข้อสอบ <<
>> (Pdf) แนวข้อสอบพร้อมเฉลย+เนื้อหาสรุปเรียบร้อย ประหยัดเวลาในการอ่าน <<
ถาม – ตอบ โลหะวิทยา
************************
1. โลหะวิทยา (Metallurgy) หมายถึงอะไร
ตอบ หมายถึง ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับโลหะ ซึ่งอธิบายถึงวิธีการแยกแยะแบ่งประเภทโลหะ กรรมวิธีการทำสินแร่ให้เป็นโลหะบริสุทธิ์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม ความรู้แขนงนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับโลหะต่าง ๆ นอกเหนือไปจากนี้ วิชาโลหะวิทยายังศึกษาเกี่ยวกับ คุณสมบัติ, พฤติกรรม และโครงสร้างภายในของโลหะ เมื่อศึกษาทำความเข้าใจเสร็จแล้ว ก็สามารถนำมาใช้ประยุกต์ได้ ผลที่ได้จะสามารถสร้างคุณสมบัติที่เหมาะสมของโลหะเพื่อนำไปใช้งานเฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. โลหะ จำแนกออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
3. โลหะจำพวกเหล็กแบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 3 ชนิดคือ
1.เหล็กดิบ
เหล็กดิบเป็นผลผลิต ที่ได้มาจากเตาสูง หรือเรียกว่า เตาบลาสต์เฟอร์เนซ (Blast Furnace) โดยการถลุงสินแร่เหล็ก ความร้อนที่ใช้ในการถลุงนั้นได้มาจากการเผาไหม้ของถ่านโค้ก (Coke) โดยมีลมร้อนเป็นสิ่งที่ช่วยในการเผาไหม้ ทั้งนี้เพื่อให้ได้อุณหภูมิสูงยิ่งขึ้น โดยให้ความร้อนสูงได้ถึง 3000 °F หรือประมาณ 1649 °C ซึ่งในระดับอุณหภูมิดังกล่าวนี้ สามารถหลอมละลายสินแร่ต่าง ๆ ได้ และสิ่งสำคัญ อีกประการหนึ่งก็คือ สิ่งสกปรกซึ่งในกระบวนการหลอมละลายสินแร่ด้วยเตาสูงนั้น จะมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้น ซึ่ง เราเรียกว่า สแลก (Slag) ซึ่งต้องกำจัดออกจากน้ำโลหะ ก่อนนำโลหะนั้นไปเทลงสู่แบบหล่อสำหรับวัตถุดิบที่ใช้ถลุงเหล็กดิบนั้น ได้แก่ สินแร่เหล็ก หินปูน ถ่านโค้ก และเหล็กใช้ซ้ำ ซึ่งจะถูกบรรจุลงในเตาสูง
เหล็กหล่อเป็นเหล็กที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลายมาเป็นระยะเวลานาน เหล็กหล่อคล้ายกับเหล็กกล้า (Steel) ก็ตรงที่เหล็กหล่อนั้นเป็นเหล็กที่มีธาตุคาร์บอนผสมอยู่เช่นเดียวกัน และสามารถศึกษาโครงสร้างจากแผนภาพสมดุล (Equilibrium Diagram)ใน รูป ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าปริมาณของคาร์บอนในเหล็กหล่อ จะมีมากกว่าในเหล็กกล้า คือมีคาร์บอนตั้งแต่ร้อยละ 2 % - 6.67 % ในอุตสาหกรรม เหล็กหล่อ โดยทั่วไปแล้ว จะมีคาร์บอนอยู่ ร้อยละ 2.5% - 4 % ถ้าปริมาณคาร์บอนมากกว่านี้เหล็กจะสูญเสียคุณสมบัติทางด้านความเหนียว (Ductility) คือเปราะ และแตกหักได้ง่ายเมื่อถูกแรงกระแทก ปกติ
เหล็กหล่อส่วนมากจะขาดคุณสมบัติทางด้านความเหนียวเมื่อเทียบกับเหล็กกล้าจึงไม่สามารถขึ้นรูปด้วยการรีดหรือการดึงขึ้นรูปที่อุณหภูมิสูงได้การขึ้นรูปเหล็กหล่อที่อุณหภูมิสูงนั้นทำได้ยาก แต่วิธีที่ใช้ในการขึ้นรูปถึงแม้ว่ารูปร่างจะซับซ้อน ก็สามารถทำได้ โดยการหลอมเหล็กให้ละลาย แล้วเทลงแบบหล่อที่ทำด้วยทราย หรือวัสดุทนความร้อน จึงได้ชื่อตามกรรมวิธีการขึ้นรูปว่า เหล็กหล่อ หลังจากหล่อ รูปร่าง ได้ใกล้เคียงกับขนาดที่ต้องการแล้ว จึงนำมาทำการกลึง ไส ตัด และเจาะ แม้ว่าเหล็กหล่อส่วนใหญ่จะให้คุณสมบัติความเค้นแรงดึงสูงสุด ต่ำ และขาดคุณสมบัติทางด้าน ความเหนียว แต่เหล็กหล่อมีราคาถูกว่า มีจุดหลอมตัวต่ำ สามารถขึ้นรูปได้รูปร่างง่ายกว่าเหล็กกล้า และยังสามารถปรับคุณสมบัติต่าง ๆ โดยการเติมธาตุผสมที่เหมาะสม และการอบชุบที่ดีจะทำให้ คุณสมบัติของเหล็กหล่อนั้นเปลี่ยนแปลงได้อย่างกว้างขวาง จนเหล็กหล่อบางชนิดมีคุณสมบัติใกล้ ้เคียงกับเหล็กกล้าทำให้ในการพัฒนาอุสาหกรรมเหล็กหล่อ เป็นไปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งปริมาณการผลิตเหล็กหล่อ ก็เพิ่ม ปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว
เหล็กกล้าเป็นเหล็กที่ถูกนำไปใช้ในงานต่าง ๆ มากมาย ทั้งนี้เนื่องจากเหล็กกล้านั้นมีคุณสมบัติในการรับแรงต่างๆ ได้ดี เช่น แรงกระแทก(Impact Strength) แรงดึง (Tebsile Strength) แรงอัด (Compressive Strength) และแรงเฉือน (Shear Strength) ซึ่งธาตุผสมส่วนใหญ่จะเป็นทั้งโลหะและอโลหะ เช่น โมลิบดินั่ม ทังสเตน วาเนเดียม เป็นต้น สำหรับกรรมวิธีทางความร้อนที่ทำต่อเหล็กกล้านั้น จะทำให้โครงสร้างเล็ก ๆ (Microstructure) ของเหล็กกล้าเปลี่ยนไป
4. เหล็กหล่อ แบ่งออกเป็นกี่กลุ่ม อะไรบ้าง
ตอบ ชนิดของเหล็กหล่อโดยอาศัยลักษณะโครงสร้างพื้นฐานและลักษณะการรวมตัวของคาร์บอนเป็นหลัก แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.เหล็กหล่อสีขาว เป็นเหล็กหล่อที่มีคาร์บอนผสมอยู่ตั้งแต่ ร้อยละ 1.7 - 2 % ซึ่งคาร์บอนจะรวมตัวกับแม่เหล็กอยู่ ในรูปคาร์ไบด์หรือ ซีเมนไทต์ (Fe3C) ทำให้เหล็กมีความแข็งเปราะ แตกหักได้ง่าย เนื้อเหล็กจะมีสีขาว เหล็กหล่อขาวนี้จะมีความความแข็งอยู่ระหว่าง 380 – 550 HB ความแข็งนี้จะแปรเปลี่ยนไปตามธาตุผสมอื่นๆอีกด้วย เช่น โครเมียม หรือโมลิบดินั่ม
2.เหล็กหล่อสีเทาหรือเหล็กหล่อสีดำ เหล็กหล่อชนิดนี้จะมีโครงสร้างคล้ายกับเหล็กดิบ ซึ่งในบางครั้งสามารถผลิตเหล็กหล่อสีเทาได้จากเหล็กดิบ เหล็กหล่อสีเทาจะมีราคาถูกเมื่อเทียบกับโลหะชนิดอื่น ทั้งยังตกแต่งขึ้นรูปได้ง่าย มีจุดหลอมเหลวต่ำ อัตราการขยายตัวมีน้อย ทนต่อแรงอัดและรับแรงสั่น (Damping Capacity) ได้ดี
3.เหล็กหล่อเหนียว เหล็กหล่อชนิดนี้ จะมีความเค้นแรงดันสูงทั้งยังมีความเหนียวและทนต่อแรงกระแทกได้ดี ในการทดสอบแรงดึงเหล็กหล่อเหนียวจะพบว่าคล้ายคลึงกับเหล็กกล้าคือ จะมีความยืดหยุ่น (Elastic) แต่จะไม่ปรากฏจุดคราก (Yield Point) นอกจากนั้นยังสามารถปรับปรุงคุณสมบัติทางกลโดยวิธีทางความร้อนได้ดีอีกด้วย
4.เหล็กหล่อผสมหรือเหล็กหล่อพิเศษ เหล็กหล่อชนิดนี้นอกจากมีคาร์บอนผสมอยู่แล้ว ยังมีธาตุอื่น ๆ ผสมเพิ่มเติมด้วย เช่น โครเมียม นิกเกิล และโมลิบดินั่ม เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อให้เหล็กหล่อชนิดนี้มีความแข็งขึ้น ทนทานต่อการเสียดสี ต้านทานแรงดึงและแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี
5. โลหะนอกจำพวกเหล็ก แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 3 ชนิดดังนี้คือ
1.โลหะหนัก
2.โลหะเบา
3.โลหะผสม
6. โลหะหนัก หมายถึงอะไร
ตอบ โลหะหนัก หมายถึง โลหะที่มีความหนาแน่นสูงกว่า 4 kg/dm3 ซึ่งโลหะหนักมีความสำคัญในงานอุตสาหกรรมอย่างมากและยังเป็นต้นกำเนิดโลหะผสมอีกหลายชนิดด้วยกัน
7. โลหะหนักที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ โลหะหนักที่นิยมใช้กันทั่วไป มีดังนี้
1.ทองแดง
ทองแดง มีความหนาแน่น 8.9 kg/dm3 จุดหลอมเหลว 1,073 – 1,093° C และ ดึงเป็นเส้นได้ดีมาก นอกจากนั้นยังสามารถนำไฟฟ้าและความร้อนได้ด ีอีกทั้งยังทนต่อการสึกหรอ และทนต่อการกัดกร่อน ฟิล์มของทองแดงจะมีสีเขียวเรียกว่า พาตินา (Patina) ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการแทรกตัวของอากาศได้ดี แต่ถ้านำทองแดงไปใช้ทำเป็นภาชนะเก็บกรดน้ำส้ม จะเกิดสารประกอบที่มีพิษต่อร่างกายกรรมวิธีถลุงทองแดงมี 2 วิธีใหญ่ๆ คือ กรรมวิธีแห้ง และกรรมวิธีเปียก นอกจากนี้ทองแดงยังสามารถแปรรูปด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เช่น ทองแดงตีขึ้นรูป ทองแดงรีดขึ้นรูป เป็นต้นทองแดงสามารถนำไปใช้ทำสายไฟฟ้า เครื่องไฟฟ้า หัวแร้งบัดกรี เครื่องประ
ดับต่าง ๆ หรืออุปกรณ์เครื่องเย็น และอุปกรณ์เครื่องกล เป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถทำเป็นวัสดุผสม เช่น ทองเหลือบรอนซ์ เป็นต้น
2.เงิน
เงิน มีความหนาแน่น 10.5 kg/dm3 จุดหลอมเหลว 960 °C เป็นโลหะมีสีขาวผิวเป็นมัน มีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด มีราคาแพงเงินสามารถนำไปใช้ทำหลอดกลักฟิวส์และหน้าสัมผัสงานไฟฟ้า เครื่องวัดด้วยแสงที่ต้องการความเที่ยงตรงของสเกล เช่น กล้องโทรทัศน์ กล้องทีโอโดไลต์ (สำหรับวัดมุมระดับในงานก่อสร้าง) โลหะรูปพรรณ งานชุบเงิน เครื่องใช้ต่าง ๆ เงินตรา และใช้ผสมกับโลหะอื่น ๆ ทำเหรียญต่าง ๆ
3.ตะกั่ว
ตะกั่ว มีความหนาแน่น 11.2 kg/dm3จุดหลอมเหลว 327 °C เป็นโลหะที่มีความเหนียวและนิ่มขึ้นรูปได้ง่าย มีความหนาแน่นมาก อีกทั้งยังมีจุดหลอมเหลวต่ำทนการกัดกร่อนได้ดี โดยเฉพาะกรด แต่สารประกอบของตะกั่วนั้นมีพิษต่อร่างกาย โดยปกติแล้วตะกั่วมักเกิดร่วมกับสังกะสีนอกจากนี้ตะกั่วยังมีคุณสมบัติเป็นตัวหล่อลื่นที่ดีอีกด้วย แต่ตะกั่วมีความแข็งแรงต่ำตะกั่วสามารถนำไปใช้ทำแผ่นตะกั่ว ในหม้อแบตเตอรี่ โลหะหุ้มสายเคเบิล ฉาบป้องกันกัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ ทำโลหะผสมต่างๆ ใช้ในงานอุตสาหกรรมทำสี ทำน้ำหนักถ่วงความสมดุล บุฝาผนังห้องและพื้นห้องเพื่อเก็บเสียงและลดการสั่นสะเทือนได้อีกด้วย
4.ดีบุก
ดีบุกมีความหนาแน่น 7.3 kg/dm3 จุดหลอมเหลว 232 ° C ดีบุกเป็นโลหะที่มีสีขาวคล้ายเงิน มีจุดหลอมเหลวต่ำ เนื้อโลหะอ่อนและรีดเป็นแผ่นได้ง่าย อีกทั้งยังทนต่อการกัดกร่อนในบรรยากาศปกติได้ดี ไม่เป็นพิษจึงนำไปเคลือบแผ่นเหล็กทำกระป๋องบรรจุอาหาร และถ้านำแท่งดีบุกตัดโค้งงอเราจะได้ยินเสียงจากภายในเนื้อของดีบุก แต่ถ้าอุณหภูมิของแท่งดีบุกน้อย
กว่า18 ° C ดีบุกนั้นจะสลายตัวเป็นเม็ดป่นสีเทา ดีบุกนี้ถลุงมาจากสินแร่ดีบุกออกไซด์ สามารถนำดีบุกไปใช้เป็นโลหะบัดกรีแบริ่ง ทั้งยังใช้เคลือบแผ่นเหล็กเพื่อป้องกันการกัดกร่อน และใช้ทำอุปกรณ์ไฟฟ้า – อิเล็กทรอนิกส์
8. โลหะเบา หมายถึงอะไร ได้แก่อะไรบ้าง จงยกตัวอย่าง
ตอบ โลหะเบา หมายถึง โลหะที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า 4 kg/dm3 โดยทั่วไปได้แก่
9. โลหะผสม ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ โลหะผสม ได้แก่
-บรอนซ์
ไฟล์ราคา 389 เพิ่ม 100 บาท แถมฟรี ชุดติวสอบ ภาค ก แบบเข้าใจง่าย
หนังสือราคา 789 บวก แถมฟรี MP3บรรยาย และโปรแกรมฝึกทำข้อสอบ ภาค ก
>รวบรวมจากผู้สอบติดอันดับต้นๆ เจาะข้อสอบเข้างานราชการ <<
>> (Book) สรุปสาระสำคัญ อ่านกระชับเวลา ไม่สับสน เข้าใจง่าย ออกชัวร์ๆ แม่นยำ <<
>> (New) รวบรวมจากรุ่นพี่ที่สอบได้อันดับต้นๆ+เจาะลึกตรงประเด็น เก็งข้อสอบ <<
>> (Pdf) แนวข้อสอบพร้อมเฉลย+เนื้อหาสรุปเรียบร้อย ประหยัดเวลาในการอ่าน <<
แนวข้อสอบความรู้ความสามารถทั่วไป
***************
ตอนที่ 1 ความสามารถทางด้านเหตุผล
ข้อ 1-5 พิจารณาเลือกคำที่เข้าพวกกับกลุ่มที่กำหนดให้
1. ฟุต เมตร หลา ........................
1) วา 2) กรัม
3) ลิตร 4) กิโลกรัม
ตอบ 1 ฟุต เมตร หลา และวา เป็นมาตรการวัด แต่ กรัม ลิตร กิโลกรัมเป็นมาตราการชั่งตวง
2. น้อยหน่า แตงโม มะละกอ ....................
1) มะพร้าว 2) ขนุน
3) เงาะ 4) สับปะรด
ตอบ 2 ขนุนเป็นผลไม้ประเภทเดียวกัน น้อยหน่า แตงโม มะละกอ เนื่องจากใช้เกณฑ์ผลไม้ที่มีเมล็ดภายในมากกว่า 1
3. พริก กระเทียม หัวหอม............................
1) ผักกาดขาว 2) แตงกวา
3) มะเขือเทศ 4) ตะไคร้
ตอบ 4 พริก กระเทียม หัวหอม ตะไคร้ เป็นพืชที่ใช้เป็นเครื่องเทศ
4. ฆ้อง กลอง ขิม .........................
1) ฉิ่ง 2) กรับ
3) ระนาด 4) ฉาบ
ตอบ 3 ฆ้อง กลอง ขิม ระนาด เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นโดยใช้ไม้ตี 1), 2) และ 4) เล่นโดยใช้ตัวเครื่องดนตรีตีกันเอง
5. โต๊ะ เตียง เก้าอี้............................
1) ตู้ 2) ตั่ง
3) กล่อง 4) ลิ้นชัก
ตอบ 2